หลังจากที่ได้แกะกล่องพร้อมกับพรีวิวกันไปก่อนหน้านี้ และได้ใช้งานกันมาสักพัก วันนี้ก็จะมารีวิว Apple Watch Series 6 สีน้ำเงิน ขนาด 44 มม. รุ่น GPS + Cellular สำหรับการใช้งานจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันเลย
Apple Watch Series 6 สีน้ำเงิน สีใหม่ รอใช้กับ iPhone 12

ตามที่ทราบกันดีว่าในปี 2020 นี้ Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สีใหม่มาในโทนเดียวกันนั่นก็คือ สีน้ำเงิน ซึ่งก็จะมีทั้ง Apple Watch Series 6, iPhone 12, iPhone 12 mini และ iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max ที่มาในสี Pacific Blue ด้วย แต่ก็มีสีแดง PRODUCT(RED) มาให้เลือกด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมกับสายแบบใหม่ Solo Loop และ Braided Solo Loop หากมีโอกาสเดี๋ยวจะมารีวิวสายแบบใหม่นี้อีกครั้ง

ตัวเรือนอะลูมิเนียมสีน้ำเงิน มาพร้อมกับ Digital Crown สำหรับการใช้งานเลื่อนเมนูต่างๆ ที่ง่ายขึ้น พร้อมกับขีดสีแดงที่บ่งบอกถึงรุ่น Cellular รองรับการโทรออก-รับสายโดยที่ไม่ต้องพึ่ง iPhone มีรูไมโครโฟนปุ่มกดด้านข้างตัวเครื่อง และลำโพงในตัว ส่วนฝาหลังเซรามิกและผลึกแซฟไฟร์ มีการใช้ LED สีเขียว แดง และอินฟราเรดสี่กลุ่ม เพื่อการวัดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และสามารถติดตามดูได้ผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมกันนี้ยังมีการปรับปรุง ECG ให้แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิมด้วย (ECG ยังไม่เปิดให้บริการในไทย)
หน้าจอสว่างมากขึ้น ใช้กลางแจ้งมองจอได้ชัดขึ้น

รุ่นนี้จะเป็นขนาดหน้าปัด 44mm เหมาะสำหรับคนที่มีข้อมือขนาดใหญ่ เป็นจอภาพ Retina ความละเอียด 368 x 448 พิกเซล แบบติดตลอด (Always On Display) ซึ่งจะทำให้เราสามารถดูเวลาหรือข้อมูลต่างๆ ได้อยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องยกข้อมือชึ้นมาบ่อยๆ และหน้าจอยังมีความสว่าง 500 นิต สว่างกว่า Series 5 ที่มีความสว่าง 200 นิต รุ่นที่แล้วถึง 2.5 เท่า ทำให้เวลาใช้งานกลางแจ้งก็ยังมองเห็นหน้าจอได้แบบชัดเจนมากกว่าเดิม และใช้กระจก Ion‑X สำหรับการป้องกันรอยขีดข่วนเหมือนกับ Series 5 เท่าที่ได้ใช้งานมาก ก็ถือว่าทนทานในระดับนึง เพราะใช้งานแบบไม่ได้ทนุถนอมเท่าไรนัก หน้าจอก็เป็นรอยขีดข่วนไม่มากนัก สำหรับใน Series 6 ก็คิดว่าไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก
รองรับ Cellular โทรเข้า-ออก ได้โดยตรง

ในการเชื่อมต่อใช้งานครั้งแรก ต้องบอกเลยว่า Apple นั้นมีการทำการบ้านมาดี โดยเป็นมาตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่เปิด Apple Watch ข้างๆ iPhone ของเรา ก็จะมีป๊อบอัพแจ้งเตือนให้เราทำการเชื่อมต่อได้ทันที อีกทั้งยังไม่ต้องกรอกเลขอะไรมากมายให้วุ่นวายปวดหัว หากเป็นการใช้งานครั้งแรกก็ทำการเปิด Cellular Plan จากแอปพลิเคชั่น Watch บน iPhone ได้ทันที แต่ถ้าใครที่ใช้ Cellular Plan กับ Apple Watch รุ่นก่อนหน้ามาแล้ว ต้องทำการยกเลิกแพลนเดิมกับทางผู้ให้บริการเครือข่ายเสียก่อน ถึงจะทำการเปิดใช้งานใหม่กับวอชใหม่ได้

นอกจากการโทรเข้า-โทรออกผ่าน Apple Watch ได้โดยตรงแล้ว การที่ใช้งาน Cellular จะทำให้เราสามารถใช้งาน Apple Watch ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone ตลอดเวลา เช่น เวลาวิ่งออกกกำลังกาย ก็สามารถฟังเพลงผ่านการสตรีมได้ หรือในขณะออกกำลังกายกลางแจ้งและไม่ได้พก iPhone ติดตัว เมื่อมีสายโทรเข้า ก็สามารถรับสายเพื่อพูดคุยผ่าน Apple Watch ได้โดยตรง เพราะมีลำโพงและไมโครโฟนสำหรับสนทนาอยู่ หรือถ้ามีการใช้ AirPods ก็สามารถพูดคุยผ่านหูฟังได้
ฟีเจอร์สมาร์ทวอชแบบจัดเต็ม

Apple Watch นั้นพัฒนาออกมาเพื่อเป็นสมาร์ทวอชเป็นหลักและมีการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามาเพื่อให้ครอบคลุมต่อการใช้งานมากขึ้น ด้วยความที่มีการเชื่อมต่อกับ iPhone จึงสามารถระบการแจ้งเตือนต่างๆ บนหน้าจอ Apple Watch ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่พัฒนาออกมาเพื่อ Apple Watch และยังเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ กับแอปพลิเคชันใน iPhone อีกด้วย สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นมาติดตั้งเพิ่มเติมจาก App Store ได้ และแน่นอนว่าสามารถใช้เรียกงาน Siri ผู้ช่วยดิจิตอลบน Apple Watch โดยตรงได้ด้วยเช่นกัน


นอกจากนี้ยังมี Watch Face หน้าปัดให้เลือกใช้งานได้หลากลาย ในบางหน้าปัดสามารถปรับตั้งค่าไอคอนต่างๆ เพื่อเป็นเมนูลัดหรือดูข้อมูลต่างๆ อาทิ มาตรวัดความสูงแบบทำงานตลอดได้

จัดเต็มกับฟีเจอร์สุขภาพและการออกกำลังกาย
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Apple ได้มีการพัฒนาฟีเจอร์ด้านสุขภาพให้กับ Apple Watch ไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจนับก้าวเดินในแต่ละวัน, อัตราการเผาผลาญ, การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, การแจ้งเตือนเมื่อนั่งนาน, การตรวจจับการล้ม รวมไปถึง ECG การแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงหรือต่ำผิดปกติ น่าเสียดายที่ ECG ยังไม่สามารถใช้งานในประเทศไทยได้

และในรุ่นใหม่นี้ Apple ก็ได้ทำการใส่ฟีเจอร์ Blood Oxygen หรือ การวัดความอิ่มตัวของออกซิเจน หรือ SpO2 ซึ่งการวัดค่านี้จะทำให้เราทราบว่าปอดและระบบไหลเวียนเลือด มีการส่งเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีหรือไม่ โดยค่าที่ปกติคนส่วนใหญ่วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนจะอยู่ที่ 95-99% โดยการวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนด้วย Apple Watch รุ่นใหม่นี้จะใช้เวลาวัดประมาณ 15 วินาที และในช่วงโควิดแบบนี้ก็สามารถใช้วัดค่าเพื่อตรวจความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เพราะหากติดไวรัส COVID-19 ก็จะมีค่าออกซิเจนในเลือดที่ต่ำกว่าเกณฑ์

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์วัดการนอนหลับใน watchOS 7 ซึ่งจะทำงานร่วมกับโหมด Sleep ใน iPhone จะคอยตรวจจับการนอนหลับว่าเรานอนหลับไปกี่ชั่วโมง และมีการหลับลึกแค่ไหน ขยับตัวระหว่างการนอนหลับบ่อยแค่ไหน นอนได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะการนอนหลับที่สนิทแต่นานเพียงพอก็เป็นเรื่องของสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน

Apple Watch ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การตรวจจับการก้าวเดิน และการเคลื่อนไหวต่างๆ หากเรานั่งนิ่งๆ นานเกินไป ก็จะมีการแจ้งเตือนให้ลุกขึ้นยืน และเมื่อมีอาการเครียด ก็จะมีการแจ้งเตือนให้เราหายใจเพื่อผ่อนคลาย ไม่เพียงเท่านี้

ยังมีการรองรับการออกกำลังกายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน, การวิ่ง, เวทเทรนนิ่ง, ว่ายน้ำ ซึ่งจะมีการตรวจจับการออกกำลังกายแบบอัตโนมัติด้วย หากออกวิ่งโดยไม่ได้กดออกกำลังตั้งแต่แรก พอผ่านไปสักประมาณ 3 นาที ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาเพื่อสอบถามว่ากำลังวิ่งอยู่หรือไม่ หากใช่และต้องการเก็บข้อมูลก็สามารถกดเพื่อเริ่มการบันทึกการออกกำลังกายได้เลย และไม่ใช่เป็นการเริ่มนับจาก 0 ใหม่ แต่จะเป็นการนับต่อเนื่องตั้งแต่เราเริ่มวิ่งตั้งแต่ตอนแรกเลย
ใน Apple Watch ยังมีฟีเจอร์ สุขภาพการได้ยิน คอยตรวจวัดระดับเสียงโดยรอบ เมื่อมีเสียงดังระดับเดซิเบลสูงจนเป็นอันตรายต่อการได้ยิน ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาเพื่อให้หลีกเลี่ยงออกมาจากสถานที่เหล่านั้น มีการติดตามรอบเดือนของคุณผู้หญิง และมีการตรวจจับการล้างมือ ซึ่งใน Apple Watch จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับอัตโนมัติว่ากำลังล้างมืออยู่ ก็จะทำการนับถอยหลังเพื่อให้ล้างมือนาน 20 วินาทีให้ ซึ่ง 20 วินาทีนี้ก็เป็นระยะเวลาที่แนะนำให้ล้างมืออยู่แล้ว ยิ่งเหตุการณ์ช่วงไวรัสโคโรนาแบบนี้ มีไว้ดีกว่าไม่มี
การตรวจจับการล้ม และ SOS ฉุกเฉิน
เป็นฟีเจอร์ที่ใครก็ไม่อยากใช้หรือไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเราและคนใกล้ตัว เมื่อเกิดการล้มขึ้นมา Apple Watch ก็มีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับการเคลื่อนไหวและอัตราการเต้นของหัวใจ เมื่อตรวจพบว่าล้มอย่างรุนแรงก็จะทำการโทรออกไปยังหมายเลขฉุกเฉินที่เราใส่ไว้ ซึ่งเราสามารถตั้งค่าหมายเลขฉุกเฉินได้ในแอพ Health และถ้าเป็นรุ่น GPS + Cellular ก็จะรองรับการโทรฉุกเฉินได้ทั่วโลก (กว่า 150 ประเทศทั่วโลก) แบบอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องพกมือถือติดตัวเลย
แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม

ใน Series 6 นี้ มีการใช้ SiP รุ่น S6 ทำงานได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นที่แล้วถึง 20% และยังช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น เท่าที่ได้ลองใช้งานมาพบว่า Series 6 นั้นประหยัดพลังงานใช้งานได้นานกว่า Series 5 จริงๆ โดยสามารถใช้ได้เกิน 1 วัน สวมใส่ตอนนอนได้ แต่ใช้ถึง 2 วันเต็มๆ นั้นยังไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีการชาร์จในระหว่างวัน แต่ในรุ่นใหม่นี้ ก็ชาร์จได้เร็วขึ้นเช่นกัน สามารถชาร์จเต็มได้ภายใน 1 ชั่วโมงครึ่ง นอกจากนี้ยังมีชิป U1 และสายอากาศ Ultra Wideband ซึ่งสามารถทำให้ระบุตำแหน่งที่ตั้งแบบระยะใกล้ได้
สรุป Apple Watch Series 6 รุ่น GPS + Cellular

เป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องของความคมชดของหน้าจอ และด้านประสิทธิภาพที่ชัดเจนในเรื่องของความอึดแบตเตอรี่ ใช้งานได้ยาวนานขึ้น รวมถึงการปรับปรุงฟีเจอร์ด้านสุขภาพก็มีมากขึ้นกว่าเดิม และยังไม่ได้เรื่องจุดเด่นของ Apple Watch ในเรื่องการตรวจจับการล้มรุนแรงและโทร SOS ได้ทันที ในด้านความสามารถของสมาร์ทวอชก็ทำได้อย่างดีอยู่แล้ว การเชื่อมต่อ, การรับแจ้งเตือนต่างๆ กับ iPhone ทำได้อย่างง่ายดาย และพอเป็นรุ่น GPS + Cellular ก็จะทำให้การใช้งานสะดวกมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องพก iPhone ติดตัวบ่อยๆ
Apple Watch Series 6 ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 40 มม. รุ่น GPS ราคาเริ่มต้น 13,400 บาท รุ่น GPS + Cellular ราคาเริ่มต้น 16,900 บาท ส่วนขนาด 44 มม. รุ่น GPS ราคาเริ่มต้น 14,400 บาท และ รุ่น GPS + Cellular ราคาเริ่มต้น 17,900 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ apple.com
ราคาและการวางจำหน่าย Apple Watch Series 6 ในไทย
ตัวเรือนอะลูมิเนียม
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 40 มม. ราคา 13,400 บาท (รุ่น GPS )
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 44 มม. ราคา 14,400 บาท (รุ่น GPS )
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 40 มม. ราคา 16,900 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 44 มม. ราคา 17,900 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
Apple Watch Nike
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 40 มม. ราคา 13,400 บาท (รุ่น GPS )
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 44 มม. ราคา 14,400 บาท (รุ่น GPS )
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 40 มม. ราคา 16,900 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
- ตัวเรือนอะลูมิเนียม ขนาด 44 มม. ราคา 17,900 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
ตัวเรือนสแตนเลสสตีล
- ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ขนาด 40 มม. ราคา 22,400 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
- ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ขนาด 44 มม. ราคา 23,900 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
Apple Watch Hermes
- ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ขนาด 40 มม. ราคา 40,900 บาท (รุ่น GPS + Cellular)
- ตัวเรือนสแตนเลสสตีล ขนาด 44 มม. ราคา 42,400 บาท (รุ่น GPS + Cellular)