จัดอีกบทความหนึ่งเกี่ยวกับสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับกล้องที่ให้ความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล ซึ่งในปัจจุบันนี้ กล้องนั้นเป็นฟีเจอร์มาตรฐานที่สำคัญในอันดับต้นๆ ของผู้บริโภคและเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาความสามารถของสมาร์ตโฟนด้านกล้องถ่ายภาพนั้นที่ยังไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด โดยเฉพาะความละเอียดของการถ่ายภาพ

ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนก็พยายามที่จะพัฒนากล้องเพื่อให้ผู้บริโภคอย่างเราได้ใช้งานกันอย่างหลากหลาย โดยเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ตโฟนนั้นมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จากกล้องหลังที่มีเพียงตัวเดียว ตอนนี้กลายเป็น 4 เลนส์เรียบร้อยแล้ว ที่มีทั้งเลนส์หลัก ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล, เลนส์ Ultra-wide, เลนส์ Macro และเลนส์ Telephoto

รวมถึงยังยัดฟีเจอร์เข้าไปอีกมากมายเพื่อความสนุกในการถ่ายภาพ และในปัจจุบันนี้ ก็มีเพียงไม่กี่รุ่นที่มาพร้อมกับกล้องหลังที่ให้ความละเอียดถึง 108 ล้านพิกเซล พร้อมทั้งยังมีฟังก์ชั่ที่เพิ่มขึ้นจนเทียบเท่ากล้องใหญ่ เพื่อการเก็บภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม วันนี้ ทีมงาน StepGeek.TV ได้รวบรวมสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เน้นผู้ใช้ที่ชอบความละเอียดในการถ่ายภาพ จะมีแบรนด์ไหน รุ่นไหนบ้าง ไปดูกัน!!!
Xiaomi Mi CC9 Pro
Xiaomi Mi CC9 Pro (Mi Note 10) เป็นรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับจุดเด่นกล้องหลัง 5 ตัว ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล, ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 730G, หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.47 นิ้ว ความละเอียด FHD+ อัตราส่วนของจอ 19:5:9 ขอบจอโค้งและหน้าจอทรงหยดน้ำ สำหรับวางกล้องเซลฟี่ ให้ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล

กล้องหลังมีทั้งหมด 5 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.69 และมีเซ็นเซร์หลักขนาดใหญ่ถึง 1/1.33” จึงทำให้สามารถอัดความละเอียดได้สูงถึง 108 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล + เลนส์ซูมระยะใกล้ 12 ล้านพิกเซล + เลนส์ซูมระยะไกล ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายระยะใกล้สุด 2 เซนติเมตร

หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.47 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6, ชิปเซ็ต Snapdragon 730G, GPU Adreno 618, RAM 6GB/8GB แบบ LPDDR4X, ROM 128GB/256GB แบบ UFS 3.0 และแบตเตอรี่ขนาด 5,260 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 30 วัตต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0%-58% ได้ในระยะเวลา 30 นาที และชาร์จเต็ม 100% ในระยะเวลา 65 นาที และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย MIUI 11
Xiaomi Mi 10 5G
Xiaomi เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ได้ประกาศเปิดตัวสมาร์ตโฟน Xiaomi Mi 10 เป็นครั้งแรกที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งตัวเครื่องรองรับและการใช้งาน 5G ได้จริง ภายหลังผู้ให้บริการเครือข่ายสมาร์ตโฟนเปิดให้บริการ 5G ที่รองรับการใช้งานอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยราคาขาย 27,999 บาท

Xiaomi Mi 10 มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ที่มีขอบโค้ง ให้ความละเอียดแบบ FHD+ รองรับ HDR10+ รองรับอัตราการรีเฟรชเรท 90Hz, หน้าจอเจาะรูมุมบนซ้ายมือเพื่อติดตั้งกล้องเซลฟี่ ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 ขนาด 7 นาโนเมตร ที่มีความเร็วสูงสุด 2.84GHz มาพร้อมกับ Kyro 585 บนสถาปัตยกรรม ARM Cortex-A77, RAM แบบ LPDDR5, ROM แบบ UFS 3.0 และแบตเตอรี่ขนาด 4,780 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 30 วัตต์

กล้องหลัง 4 ตัว ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพด้านการถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยระบบฮาร์ดแวร์ชั้นเลิศและผสานเข้ากับฟีเจอร์ซอฟต์แวร์สุดล้ำ พร้อมอัดแน่นไปด้วยเซ็นเซอร์หลัก 108 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ใหญ่ที่สุดในบรรสมาร์ตโฟนในตลาด ณ ตอนนั้น
โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล + เลนส์ Depth Camera ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมมีระบบกันสั่น และทาง Xiaomi ยังมีความภาคภูมิใจในเรื่องหน้าจอแสดงผลที่สามารถเข้าถึงความสว่างสูงสุด 1200nit และสามารถปรับระดับความสว่างได้ในระดับ 4096 และมีระบบ DC Dimming
แถมยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับผู้นำตลาดที่มีฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอคมชัดระดับ 8K ที่ 30fps เพื่อเก็บทุกรายละเอียดและสามารถรับชมได้ แม้กระทั้งรายละเอียดที่เล็กที่สุด รวมถึงยังมีโหมดวิดีโอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Portrait Video, Color Focus, ShootSteady, Vlog และ Slow Motion ให้เราได้เลือกและรังสรรวิดีโอคุณภาพเดียวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ได้อย่างง่ายดาย
Xiaomi Mi 10T Pro 5G
Xiaomi Mi 10T 5G มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ จอรีเฟรชเรท 144Hz ที่มีไหลลื่นและมีความสมูทมากขึ้นกว่าเดิม หน้าจอเจาะรูสำหรับวางกล้องเซลฟี่
ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 ของ Qualcomm, RAM 8GB แบบ LPDDR5, ROM 128GB แบบ UFS 3.1สามารถเพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 256GB, ขนาดแบตเตอรี่ 5,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33 วัตต์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี MMT ที่ทาง Xiaomi ได้เคลมว่า สามารถเล่นเกมได้ยาวนานถึง 14 ชั่วโมง

กล้องหลัง 3 ตัวพร้อมไฟแฟลช LED วางอยู่ในทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนซ้ายมือของตัวเครื่อง โดยเลนส์หลัก ที่ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซลและมาพร้อมกับ 6 โหมด (Long Exposer Mode) ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Neon trails, Light painting, Moving crowd, Starry sky, Star trails, Oil painting ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นจุดเด่นของในรุ่น Pro นั่นเอง รวมถึงมี AI Skyscraping 3.0 และสามารถถ่ายภาพในตอนกลางคืนได้อย่างสวยงาม เก็บรายละเอียดได้อย่างคมชัด และรองรับการถ่ายวีดีโอในระดับ 8K
Samsung Galaxy Note 20 Ultra
Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงที่ได้ประกาศเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมาและมาพร้อมกับปากกา S-Pen ที่ดีกว่าเดิม ใช้ชิป Exynos 990 GPU Mali-77 พร้อมกับ RAM 12GB ช่วยกันประมวลผลรันบนระบบปฏิบัติการ One UI 2.5 บนพื้นฐาน Android 10 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท

การดีไซน์ฝาหลังของรุ่นนี้เป็นการดีไซน์แบบพื้นผิวด้าน ตัดกับความแววาวของกรอบเลนส์ขนาดใหญ่ได้อย่างลงตัว ทำให้ตัวเครื่องดูหรูหราไฮโซมากขึ้น ซึ่งใครที่ชอบใช้ตัวเครื่องแบบไม่ใส่เคสก็น่าจะถูกใจไม่น้อยสำหรับปัญหาเรื่องรอยนิ้วมือติด ซึ่งดีไซน์แบบด้านนี้จะช่วยลดปัญหาเรื่องรอยนิ้วมือไปได้เยอะเลย

หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (3200 x 1440 pixels) หน้าจอเป็นแบบ Infinity-O display สำหรับฝังกล้องหน้า ให้ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล อัตราส่วน 20:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ และมีรีเฟรชเรท 120Hz ยังมีระบบสแกนลายนิ้วมือฝังอยู่ใต้หน้าจอ

กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว โดยยกล้องหลักให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Samsung S5KHM1 ขนาด 1/1.3 นิ้ว รูรับแสง f/1.8 ระบบ Laser Auto Focus + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 120 องศา + เลนส์ Periscope Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมแบบออปติคอลได้ 5 เท่า และแบบ Digital Zoom ได้ 50 เท่า ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ ให้ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับปากกา S-Pen เป็นสิ่งที่คู่กันกับ Galaxy Note กันมาอย่างยาวนานใน Note 20 Ultra รุ่นนี้ได้มีการอัปเกรดปากกา S Pen ขึ้นมาจากรุ่นที่แล้ว โดยจะมี Latency rate 9ms สามารถขีดเขียนได้สมูท ลื่นไหลกว่าเดิม อีกทั้งการแสดงผลก็ยังรวดเร็วเปรียบเสมือนใช้ปากกาเขียนบนกระดาษเลย
สเปก Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G
- หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว แบบ Infinity-O display ความละเอียด Quad HD+ (3088 x 1440 pixels) อัตราส่วน 19:3:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ และมีรีเฟรชเรท 120Hz
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- ปากกา S Pen ความเร็ว Latency rate 9ms
- หน่วยประมวลผล Exynos 990
- RAM 8GB / 12GB
- หน่วยความจำภายใน 256GB / 512GB
- รองรับ microSD Card ได้สูงสุด 1TB
- ระบบปฏิบัติการ One UI 2.5 บนพื้นฐาน Android 10
- กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 10MP รูรับแสง f/2.2 แบบ dual-pixel focus
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลัง Wide 108MP
- กล้อง Ultra-wide 12MP
- กล้อง Periscope Telephoto 12MP รองรับการซูม 5x-50x
- รองรับระบบโฟกัสแบบ Laser Auto Focus
- บันทึกวิดีโอได้ 8K 24fps และ Full HD 120fps
- แยกเป็นขาย 2 รุ่น คือ รุ่น 4G กับรุ่น 5G
- สามารถใช้งานได้ 2 ซิมการ์ด (Hybrid-Slot)
- Wi-Fi 6
- Bluetooth 5.0
- GPS, NFC
- USB 3.2 Type-C
- ลำโพงคู่ พร้อมระบบเสียงปรับจูนโดย AKG
- รองรับ Multi-source Mic Control หรือ Buds mic ซึ่งการทำงาน Galaxy Buds Live เป็นไมโครโฟนไร้สายได้
- แอปเสริม Samsung Pay, Wireless Dex และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง Microsoft ด้วย Project xCloud ที่เป็นเกม Streaming ด้วย
- แบตเตอรี่ 4500mAh รองรับ fast charging 25W, wireless charging, และ reverse wireless charging
- มี 2 สี Mystic Black กับ Mystic Bronze
Samsung Galaxy S20 Ultra 5G
Samsung Galaxy S20 Ultra เป็นอีกหนึ่งสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงตัวท็อปสุดในตระกูลที่จัดเต็มทั้งเรื่องการดีไซน์, หน้าจอแสดงผล, สเปกเครื่อง, ฟีเจอร์และกล้องถ่ายภาพ ที่ประกาศเปิดตัวเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ด้วยราคา 39,900 บาท
Samsung Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED Infinity O-Display ความละเอียด 3200×1440 พิกเซล (511ppi) อัตราส่วน 20:9 บนขนาด 6.9 นิ้ว พร้อมครอบทับด้วยกระจกแบบ 2.5D Gorilla Glass 6 พร้อมจอรีเฟรชเรท 120Hz กับ Touch Response 240Hz

การดีไซน์ของตัวเครื่องนั้น ทางซัมซุงเองเลือกใช้เทคโนโลยีแบบ Metal-Glass ซึ่งด้านหน้า-ด้านหลัง จะเป็นกระจก ผสานกับกรอบตัวเครื่องที่เป็นโลหะ จึงทำให้ตัวเครื่องมีความเงางามหรูหราเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ตัวกระจกด้านหลังจะยังมีความโค้งรับกับอุ้งมือ เผื่อช่วยให้จับ หรือถือได้ง่าย

ด้านหน้าส่วนบนมีกล้องถ่ายภาพด้านหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รองรับ Night Mode และถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K Ultra HD 60fps
กล้องถ่ายภาพด้านหลังมีทั้งหมด 4 เลนส์ ด้วยกัน โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล ซึ่งมาพร้อมกับ Samsung S5KHM1 + เลนส์ Telephoto ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล + เลนส์ TOF สำหรับช่วยวัดระยะ

พร้อมทั้งยังมีระบบสั่น, รองรับ AI Scene, รองรับ Optical Zoom 10x กับ Digital Zoom สูงสุด 100x, รองรับระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Super Steady Anti Rolling สำหรับถ่ายวิดีโอที่ดีขึ้นกว่าเดิม, ถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ 8K 24fps, รองรับฟีเจอร์ Single Take ถ่ายภาพกับวิดีโอพร้อมกันผ่าน AI, รองรับฟังก์ชัน Custom Filter ที่สามารถก็อบ Filter จากภาพต้นแบบ ไปใช้กับอีกภาพได้ทันที, สามารถสลับกล้องหน้า-หลัง ได้ทันทีขณะบันทึกวิดีโอ และไฟแฟลช LED
สเปก Samsung Galaxy S20 Ultra 5G
- ตัวเครื่องแบบกระจก (Metal-Glass)
- ขนาดของตัวเครื่อง 167x76x8.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนักเพียง 221 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED Infinity O-Display ความละเอียด 3200×1440 พิกเซล (511ppi) อัตราส่วน 20:9 บนขนาด 6.9 นิ้ว พร้อมครอบทับด้วยกระจกแบบ 2.5D Gorilla Glass 6
- หน้าจอแสดงผลมีค่า Refresh Rate ที่ 120Hz กับ Touch Response 240Hz
- ชิปเซ็ต Exynos 990 ใหม่ล่าสุดขนาด 7 นาโนเมตร
- RAM12GB แบบ LPDDR5
- ROM 128GB (UFS 3.0) และสามารถเพิ่มการ์ด microSD ได้สูงสุด 1TB
- กล้องถ่ายภาพด้านหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รองรับ Night Mode และถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K Ultra HD 60fps
- กล้องถ่ายภาพด้านหลังมีทั้งหมด 4 เลนส์ ด้วยกัน โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล ซึ่งมาพร้อมกับ Samsung S5KHM1 + เลนส์ Telephoto ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล + เลนส์ TOF สำหรับช่วยวัดระยะ
- มีระบบสั่น, รองรับ AI Scene, รองรับ Optical Zoom 10x กับ Digital Zoom สูงสุด 100x, รองรับระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Super Steady Anti Rolling สำหรับถ่ายวิดีโอที่ดีขึ้นกว่าเดิม, ถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ 8K 24fps, รองรับฟีเจอร์ Single Take ถ่ายภาพกับวิดีโอพร้อมกันผ่าน AI, รองรับฟังก์ชัน Custom Filter ที่สามารถก็อบ Filter จากภาพต้นแบบ ไปใช้กับอีกภาพได้ทันที, สามารถสลับกล้องหน้า-หลัง ได้ทันทีขณะบันทึกวิดีโอ และไฟแฟลช LED
- รองรับเทคโนโลยี 5G
- รองรับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2.0
- รองรับสแกนใบหน้า
- รองรับสแกนลายนิ้วมือใต้จอ
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ลำโพงเสียงภายนอกแบบคู่ พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos by AKG
- แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 45 วัตต์
- มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ Cosmic Black และสีเทา Cosmic Grey
Xiaomi Mi 11
Xiaomi Mi 11 เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ที่เป็นกระแสดังบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมากในช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา และได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ มีให้เลือก 2 แบบ คือ ฝาหลังกระจก กับแบบฝาหลังเป็นหนัง นอกจากนี้ ยังมีการอัปเกรดสเปกให้เร็วแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยมีหน้าจอ QHD+ หน้าจอโค้งแบบเจาะรูสำหรับวางกล้องเซลฟี่ที่อยู่มุมซ้ายมือบนของหน้าจอแสดงผล ซึ่งเป็นแบบ 2K AMOLED ขนาด 6.81 นิ้ว ทั้งยังมีค่ารีเฟรชเรท 120Hz เพื่อตอบรับการทัชสกรีนที่ไหลลื่น ไม่เพียงแค่นั้น ตัวหน้าจอยังได้รับการประเมินระดับ A+ จาก DisplayMate อีกด้วย

ใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง Snapdragon 888 รุ่นแรกของโลก ที่ทำงานร่วมกับกราฟิกรุ่นใหม่ Adreno 660 ที่เรนเดอร์ภาพได้เร็วขึ้นถึง 35% และสามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรมแบบ LPDDR5
กล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รวมถึงยังมีขนาดแบตเตอรี่ 4,600 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 55 วัตต์ พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบไร้สายที่ 50W และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12.5 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง

สเปก Xiaomi Mi 11
- ตัวเครื่องมี 2 แบบ ได้แก่ รุ่นตัวเครื่องกระจก กับรุ่นตัวเครื่องหนัง
- หน้าจอแสดงผลแบบ 2K AMOLED ความละเอียด 3200 x 1440 พิกเซล ขนาด 6.81 นิ้ว พร้อมครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus จอรีเฟรชเรท 120Hz และค่า Touch Sampling 480Hz
- ชิปเซ็ต Snapdragon 888 ของ Qualcomm
- GPU Adreno 660
- RAM 8GB / 12GB แบบ LPDDR5
- ROM 128GB / 256GB แบบ UFS 3.1 (ไม่รองรับ microSD)
- กล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 108 MP รูรับแสง f/1.85, เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 13 MP รูรับแสง f/2.4 มุมมองกว้าง 123 องศา + เลนส์ Telephoto + Macro ความละเอียด 5 MP นอกจากนี้ ยังมีระบบกันสั่นแบบ OIS พร้อมสามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K ระดับ HDR 10+
- กล้องหน้า ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล
- รองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12
- รองรับ 5G และ Wi-Fi 6
- รองรับสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รองรับสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ความจุ 4,600 mAh รองรับชาร์จไว 55 วัตต์
- ลำโพงเสียงคู่จาก harman/kardon
Motorola Edge+
Motorola Edge+ ประกาศเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่มาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่ดูพรีเมี่ยมและกล้องหลังให้ความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล ส่วนการดีไซน์ตัวเครื่องนั้นได้รับการดีไซน์ตัวเครื่องใหม่หมด ไม่เหมือนกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ ในอดีตของทางค่ายเลย

มาพร้อมกับหน้าจอ OLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ จอรีเฟรชเรท 90Hz หน้าจอเจาะรูสำหรับวางกล้องเซลฟี่ ให้ความละเอียด 25 ล้านพิกเซล ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865, RAM 12GB แบบ LPDDR5, ROM 256GB แบบ UFS 3.0
กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ที่วางเรียงเป็นแนวตั้งอยู่ซ้ายมือบนของตัวเครื่อง โดยเลนส์หลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล + เลนส์ Telephoto ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถซูมแบบออฟติคอลได้ 3 เท่าและมีระบบกันสั่น OIS รวมถึงยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ ToF สำหรับวัดระยะเพื่อการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ

แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับการชาร์จแบบมีสาย TurboPower และรองรับระบบชาร์จเร็วแบบไร้สาย TurboPower Wireless และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 10 รวมถึงยังรองรับสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ
นำเสนอข่าวโดย : StepGeek.TV
ที่มา : xiaomimi